วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

แนวโน้มและทิศทางของเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต


แนวโน้มและทิศทางของเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต



          

          เทคโนโลยีในปัจจุบันนี้เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเรามองย้อนไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เทคโนโลยีนั้นมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างรวดเร็ว คนในสังคมก็มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง คนทุกระดับอายุ เกือบทุกอาชีพ มีความต้องการสารสนเทศอยู่ตลอดเวลาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การประกอบธุรกิจ การศึกษาหาความรู้ การบริหารจัดการ การพักผ่อนและบันเทิง รวมทั้งการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิตของตนเอง และอีกประการหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลต่อคนทุกระดับอายุ นั้น เป็นเพราะว่าราคาของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นมีราคาถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งในอดีต 20-30 ปี ที่ผ่านมา โทรทัศน์ หรือโทรศัพท์ นั้นมีราคาแพงแสนแพง กว่าจะได้มาครอบครองแต่ละเครื่องนั้นต้องใช้เงินซื้อเป็นจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกที่ทุกระดับรายได้สามารถซื้อและครอบครองเป็นเจ้าของได้

แนวโน้มเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต

         เทคโนโลยีในปัจจุบันมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีวัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์อย่างไม่มีขีดจำกัดในทุกวงการ เช่นเดียวกับวงการศึกษาที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนและการบริหารจัดการ รวมถึงใช้ในการกำหนดแนวโน้มของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคตว่า ควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเพื่อให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างได้ผล ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนอย่างมากมาย อาทิ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ระบบ e-learning e- book ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นสื่ออิเลกโทรนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน ที่ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นขอแสดงความคิดเห็นถึงแนวโน้มและทิศทางของเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต ไว้ดังนี้คือ

1. เทคโนโลยีการศึกษาในอนาคตจะถูกออกแบบเพื่อผู้เรียนรายบุคคลมากขึ้น (Individual learning) ดังที่ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2551 มาตรา 22 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด การบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” และการที่ผู้เรียนจะสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ประการหนึ่งก็ต้องจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะตัวบุคคล เพราะแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในอนาคตก็จะเน้นผู้เรียนรายบุคคลเป็นหลักและเทคโนโลยีการศึกษาที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคตก็ถูกออกแบบเพื่อบุคคลมากขึ้น

2. เป็นเทคโนโลยีการศึกษาที่เสมือนจริงมากขึ้น หรือที่เรียกว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปัญญาประดิษฐ์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและให้เหตุผลเหมือนมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ ระบบ AI ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การจัดการเรียนการสอนในอนาคตในรายวิชาที่เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการใช้เหตุผล และการแก้ปัญหา อาทิ วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อาจจะถูกสอนโดยหุ่นยนต์ที่ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์

3. การเปลี่ยนแปลงสื่อสิ่งพิมพ์ (Printing media) โดยเฉพาะตำราเรียนจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทั้งด้านเนื้อหาวิชาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลักษณะรูปเล่มและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สำคัญของหนังสือจะเปลี่ยนไปเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของนักเรียน จนในที่สุดจะเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic books)

4. คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์หลักในการเรียนการสอน ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก ทั้งใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน และใช้สร้างสื่อการเรียนการสอนต่างๆ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในอนาคตก็จะเน้นจัดการเรียนการสอนผ่านระบบคอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้น

สรุป

         แนวโน้มและทิศทางของเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคตจะต้องพึ่งพาและอาศัยเทคโนโลยีเพื่อช่วยเป็นสื่อในการจัดการศึกษาเพิ่มมากขึ้น และเทคโนโลยีการศึกษาก็จะเน้นความเป็นปัจเจกคนมากขึ้น รวมถึงการใช้การศึกษาที่เสมือนจริงมาช่วยในการจัดการเรียนการสอน และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะมีบทบาทมากขึ้นเพียงใด แต่ก็อาจจะไม่สามารถเข้ามาแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่อาจจะเป็นไปในลักษณะที่คนใช้เทคโนโลยีเป็นจะเข้ามามีบทบาทแทนคนที่ใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ดังนั้นเราจึงควรที่จะพัฒนาตนเองให้ทันต่อเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านั้น

ผู้จัดทำและเรียบเรียง นายนิมิต จันทุดม
อ้างอิงจาก

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561


Profile
ประวัติส่วนตัว


นายนิมิต  จันทุดม 
รับราชการ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านกุยแหย่ 

สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) อนุสรณ์สถานที่เต็มไปด้วยปริศนา

สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) อนุสรณ์สถานที่เต็มไปด้วยปริศนา 



            สโตนเฮนจ์มีความหมายว่าหินแขวน แต่คนไทยคุ้นกับคำว่า หินตั้งมากกว่า คำนี้เป็นคำภาษาอังกฤษโบราณตั้งขึ้นโดย คริสโตเฟอร์  ชิพพินเดล (Christopher  Chippindale) นักโบราณคดีชาวอังกฤษที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ที่ใช้คำๆนี้ก็เนื่องจากสัญลักษณ์ของหินบางก้อนที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม คืออยู่ในลักษณะแขวนลอยนอนราบอยู่ด้านบนระหว่างหินสองก้อนหินที่ตั้งอยู่ มองดูคล้ายกับที่แขวนคอนักโทษในอดีต แต่ก็ยุงคงมีหินก้อนอื่นๆที่ตั้งอยู่ในลักษณะเรียงรายกันเป็นวงกลมล้อมรอบ สโตนเฮนจ์  เป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ ๓,00 ปีก่อนคริสต์ศักราชมาแล้วแต่ก็มีร่องรอยว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีสิ่งก่อสร้างอื่นตั้งอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคหินใหม่เมื่อ ๘,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชเลยทีเดียวโดยมีการพบหลุมที่ใช้ปักเสาคล้ายกับหลุมที่ใช้ตั้งหิน สโตนเฮนจ์  ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ตรงบริเวณใกล้กับที่จอดรถนักท่องเที่ยวในปัจจุบันหลายหลุม แต่ไม่ปรากฏตัวเสาหรือสิ่งก่อสร้างอื่นตั้งอยู่แต่อย่างใด  สโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่บนที่ราบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของอังกฤษตอนใต้ เรียกว่าที่ราบ ซอลเบอรี(Salisbury Plain)”  ในเขตเมือง วิลต์ไชร์


         สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวแต่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง  หลายยุคหลายสมัย แบ่งป็นสามยุค ครั้งแรกสุดสร้างขึ้นเมื่อ ๓,00 ปีก่อน ค.ศ. ครั้งที่สองเมื่อ ๓,000 ปีก่อน ค.ศ. ครั้งที่สามนั้นอยู่ในช่วงระหว่าง ๒,00 ถึง ๑,00 ปีก่อน ค.ศ. โดยในครั้งที่สามนี้มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องกันหลายครั้ง สโตนเฮนจ์ แต่เดิมไม่ได้มีเส้นผ่าศูนย์กลางวงรอบเท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้เท่านั้น แต่กว้างเกือบสามเท่าของปัจจุบัน 




           ตรงเนินดินที่เป็นแนววงรอบอยู่ด้านนอกของหมู่หิน สโตนเฮนจ์ ก็คือร่องรอยของสโตนเฮนจ์ ในการก่อสร้างครั้งก่อน ซึ่งปัจจุบันเห็นเพียงเนินดินวงกลมและหินบางก้อนที่กระจายอยู่โดยรอบ กับแนวหลุมที่เรียกว่า หลุม ออบรีย์ (Aubrey Holes) โดยตั้งตามชื่อสกุลของผู้สังเกตเห็นหลุมนี้เป็นครั้งแรก หลุมเหล่านี้ถูกขุดเป็นระยะๆอยู่ถัดจากเนินดินเข้ามา เชื่อว่าเป็นหลุมสำหรับปักเสาไม้ที่ใช้ค้ำยันเพื่อใช้ชักลากหินให้ตั้ง นักโบราณคดีเชื่อว่าหมู่หินที่ยืนตระหง่านอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการสร้างครั้งหลังสุดตั้งแต่๒,00 ปีก่อน ค.ศ. เป็นต้นมา ซึ่งในช่วงที่สร้างครั้งหลังสุดนั้นก็ได้มีการยกเอาสิ่งก่อสร้างจากการสร้างครั้งเก่าออกไป แล้วจึงลงมือสร้างวงหินใหม่ขึ้น จึงเหลือเพียงแนวดินวงกลมกับหินบางก้อนที่ตั้งเรียงกันอยู่ห่างๆเท่านั้น คนกลุ่มสุดท้ายที่มีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับ สโตเฮนจ์ นี้เข้าใจว่าน่าจะอยู่ในราวช่วง ๑,00 ปีก่อน ค.ศ. แล้วค่อยๆละทิ้งถิ่นฐานแห่งนี้ไปจนหมดแต่ก็ยังคงมีกลุ่มคนต่างๆแวะเวียนเข้ามาใช้ประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้เรื่อยๆโดยที่ไม่ทราบความหมายของสถานที่แห่งนี้มากนัก ในสมัยที่ชาวโรมันเข้ามาในแผ่นดินอังกฤษก็เคยเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิง เนื่องจากเคยมีการขุดพบเหรียญของชาวโรมันอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

       สำหรับจุดประสงค์ในการสร้าง สโตนเฮนจ์ ขึ้นนั้นจนปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ทราบในจุกประสงค์อย่างชัดเจนได้เลย มีหลายทฤษฎีด้วยกันที่กล่าวถึงจุดประสงค์ในการสร้าง โดยทฤษฎีที่เชื่อถือกันมากที่สุดก็คือเชื่อว่าสถานที่นี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น ซึ่งนำมาจากบันทึกโบราณของชาว ดรูอิด(Druid) ซึ่งเป็นกลุ่มนักบวชของเผ่าพันธุ์เคลติก(Celtic)ที่อาศัยอยู่ในยุโรปช่วงตั้งแต่ประมาณหลายร้อยปีก่อนคริสต์ศักราช กล่าวว่านักบวชชาวดรูอิดโบราณจะใช้สถานที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้าตามฤดูกาลต่างๆ และด้วยความเชื่อนี้เองบัจจุบันกลุ่มนักบวชนิกาย ดรูอิดใหม่ที่อยู่ในยุคสมัยปัจจุบันจึงยังคงใช้สถานที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของพวกตนอยู่อย่างต่อเนื่อง และคนกลุ่มนี้ก็เป็นคนกลุ่มที่ออกมาต่อต้านการเปิดสถานที่แห่งนี้ให้เป็นที่ท่องเที่ยวของรัฐบาลอังกฤษอยู่ทุกวันนี้ เพราะเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ความเชื่อของชาวดรูอิด เช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจริง เพราะสโตนเฮนจ์สร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีชาว ดรูอิด หรือ ชาว เคลต์ มาปักหลักอาศัยอยู่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษหรือเกาะไอร์แลนด์นานมากหรือบ้างก็ว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะถูกใช้ในการประกอบพิธีกรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต  โดยที่ใกล้นั้นมีการพบเนินดินสำหรับฝังศพในสมัยดึกดำบรรพ์อยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย



             ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งก็เชื่อว่า สโตนเฮนจ์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่สังเกตการณ์โคจรของดวงดาวในสมัยโบราณ เนื่องจากลักษณะการจัดวางของหินมีลักษณะคล้ายกับเครื่องมือสำหรับสังเกตการณ์ขึ้นลงของดวงอาทิตย์ และถ้าหากสังเกตจากรูปร่างของหินรูปร่างประหลาดก้อนหนึ่งตั้งอยู่ห่างไปจากตัว สโตนเฮนจ์  โดยตั้งอยู่ใกล้กับถนนที่จะเดินทางไปสู่ลานจอดรถ ก้อนหินก้อนนี้เรียกว่า ฮีลสโตน(Heelstone) กล่าวกันว่าในแต่ล่ะปีจะมีวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับตำแหน่งของก้อนหินนี้พอดี  

           ที่มาของการสร้างสโตนเฮนจ์อีกเรื่องหนึ่งมีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่องกษัตริย์ อาร์เธอร์ (King Artur) กับอัสวินโต๊ะกลม กล่าวว่า เมอร์ลิน (Merlin) ผู้วิเศษเป็นผู้สร้างโดยใช้เวทมนต์ยกมาจากเกาะไอร์แลนด์ที่ยักษ์เป็นผู้นำหินทั้งหมดมาจากทวีป อัฟริกา แต่เรื่องนี้ดูจะอัศจรรย์จนเกินกว่าจะเป็นจริง
            และอีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า สโตนเฮนจ์ เป็นสถานที่สำหรับใช้รักษาเยียวยาผู้ป่วย จากหลุมฝังศพที่อยู่รอบๆ อนุสาวรีย์หินและสะเก็ดหินโบราณชิ้นเล็กๆ ที่นำไปเป็นเครื่องราง บ่งชี้ว่าในยุคนั้นสโตนเฮนจ์น่าจะมีความสำคัญคล้ายกับวิหารโลเดสในฝรั่งเศส คือเป็นสถานที่สำหรับการรักษาเยียวยาผู้ป่วย เพราะในบริเวณนี้มีกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บมากผิดปกติ และการวิเคราะห์ภาพถ่ายฟันก็บ่งชี้ว่าที่พบนั้นราวครึ่งหนึ่งเป็นคนจากที่อื่น      ที่นี่ยังมีการค้นพบกะโหลกศีรษะของคน 2  คน ที่ผ่านการผ่าตัดทำศัลยกรรมในยุคแรกๆ ซึ่งเคยมีขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอังกฤษ     “โครงกระดูกของมนุษย์ ที่รู้จักกันในชื่อว่า อเมสเบอร์รี อาร์เชอร์  ที่พบในบริเวณนี้ มีลักษณะของกะโหลกศีรษะเหมือนได้รับบาดเจ็บรุนแรง คาดว่าจะเสียชีวิตในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่มีการนำหินเหล่านี้มาวางเรียงไว้แบบนี้ การวิเคราะห์กระดูกของอาร์เชอร์บ่งชี้ว่าเขาน่าจะดั้นด้นมาจากแถบเทือกเขาแอลป์ มีการขุดค้นพบสะเก็ดหินบางส่วนที่ทำมาจากหินสีฟ้า ที่คนนำมาทำเป็นเครื่องราง เป็นการใช้ในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการป้องกัน เช่นเดียวกับทฤษฎีของหลุมฝังศพที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษที่พบว่ามีการฝังหินนี้ไว้รวมกับศพผู้เป็นเจ้าของด้วย  ปัจจุบันนี้ หินสีฟ้าส่วนใหญ่ที่เป็นวงรอบในสุดแทบจะมองไม่เห็น เพราะมีกลุ่มแผ่นหินทรายขนาดใหญ่หรือ ที่เรียกว่า หินแขวน ยืนตระหง่านล้อมอยู่อย่างมั่นคงเก็บงำความลับอันน่าพิศวงของสโตนเฮนจ์ไว้ 



(ชิ้นส่วนของสะเก็ดหินสีฟ้า) 


ผู้เรียบเรียง นายนิมิต  จันทุดม 
สืบค้นจาก 
หนึ่งธิดา  ราเมศวร์. 35 เมืองอัศจรรย์ของโลก (Wonderlands of the World).สำนักพิมพ์ มายิก. หน้า 167

สำนักข่าวบันเทิงเนชั่น. 6 กันยายน 2551. http://www.oknation.net/blog/NENA/2008/09/26/entry-5

งาน วิชา สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนรู้  https://drive.google.com/drive/folders/1oMHpt9aZqxg1IWEKWy8hCtth_WgTOBJS?usp=sh...