สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) อนุสรณ์สถานที่เต็มไปด้วยปริศนา
สโตนเฮนจ์มีความหมายว่าหินแขวน แต่คนไทยคุ้นกับคำว่า หินตั้งมากกว่า คำนี้เป็นคำภาษาอังกฤษโบราณตั้งขึ้นโดย คริสโตเฟอร์ ชิพพินเดล (Christopher Chippindale) นักโบราณคดีชาวอังกฤษที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ที่ใช้คำๆนี้ก็เนื่องจากสัญลักษณ์ของหินบางก้อนที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม คืออยู่ในลักษณะแขวนลอยนอนราบอยู่ด้านบนระหว่างหินสองก้อนหินที่ตั้งอยู่ มองดูคล้ายกับที่แขวนคอนักโทษในอดีต แต่ก็ยุงคงมีหินก้อนอื่นๆที่ตั้งอยู่ในลักษณะเรียงรายกันเป็นวงกลมล้อมรอบ สโตนเฮนจ์ เป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ ๓,๑00 ปีก่อนคริสต์ศักราชมาแล้วแต่ก็มีร่องรอยว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีสิ่งก่อสร้างอื่นตั้งอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคหินใหม่เมื่อ ๘,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชเลยทีเดียวโดยมีการพบหลุมที่ใช้ปักเสาคล้ายกับหลุมที่ใช้ตั้งหิน สโตนเฮนจ์ ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ตรงบริเวณใกล้กับที่จอดรถนักท่องเที่ยวในปัจจุบันหลายหลุม แต่ไม่ปรากฏตัวเสาหรือสิ่งก่อสร้างอื่นตั้งอยู่แต่อย่างใด สโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่บนที่ราบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของอังกฤษตอนใต้ เรียกว่าที่ราบ “ซอลเบอรี(Salisbury Plain)” ในเขตเมือง วิลต์ไชร์
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวแต่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หลายยุคหลายสมัย
แบ่งป็นสามยุค ครั้งแรกสุดสร้างขึ้นเมื่อ ๓,๑00 ปีก่อน ค.ศ. ครั้งที่สองเมื่อ ๓,000 ปีก่อน ค.ศ.
ครั้งที่สามนั้นอยู่ในช่วงระหว่าง ๒,๖00 ถึง ๑,๙00 ปีก่อน ค.ศ. โดยในครั้งที่สามนี้มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องกันหลายครั้ง
สโตนเฮนจ์ แต่เดิมไม่ได้มีเส้นผ่าศูนย์กลางวงรอบเท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้เท่านั้น
แต่กว้างเกือบสามเท่าของ ปัจจุบัน
ตรงเนินดินที่เป็นแนววงรอบอยู่ด้านนอกของหมู่หิน
สโตนเฮนจ์ ก็คือร่องรอยของสโตนเฮนจ์ ในการก่อสร้างครั้งก่อน
ซึ่งปัจจุบันเห็นเพียงเนินดินวงกลมและหินบางก้อนที่กระจายอยู่โดยรอบ
กับแนวหลุมที่เรียกว่า หลุม ออบรีย์ (Aubrey Holes) โดยตั้งตามชื่อสกุลของผู้สังเกตเห็นหลุมนี้เป็นครั้งแรก
หลุมเหล่านี้ถูกขุดเป็นระยะๆอยู่ถัดจากเนินดินเข้ามา
เชื่อว่าเป็นหลุมสำหรับปักเสาไม้ที่ใช้ค้ำยันเพื่อใช้ชักลากหินให้ตั้ง
นักโบราณคดีเชื่อว่าหมู่หินที่ยืนตระหง่านอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการสร้างครั้งหลังสุดตั้งแต่๒,๖00 ปีก่อน ค.ศ. เป็นต้นมา
ซึ่งในช่วงที่สร้างครั้งหลังสุดนั้นก็ได้มีการยกเอาสิ่งก่อสร้างจากการสร้างครั้งเก่าออกไป
แล้วจึงลงมือสร้างวงหินใหม่ขึ้น
จึงเหลือเพียงแนวดินวงกลมกับหินบางก้อนที่ตั้งเรียงกันอยู่ห่างๆเท่านั้น
คนกลุ่มสุดท้ายที่มีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับ สโตเฮนจ์ นี้เข้าใจว่าน่าจะอยู่ในราวช่วง
๑,๖00 ปีก่อน ค.ศ.
แล้วค่อยๆละทิ้งถิ่นฐานแห่งนี้ไปจนหมดแต่ก็ยังคงมีกลุ่มคนต่างๆแวะเวียนเข้ามาใช้ประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้เรื่อยๆโดยที่ไม่ทราบความหมายของสถานที่แห่งนี้มากนัก
ในสมัยที่ชาวโรมันเข้ามาในแผ่นดินอังกฤษก็เคยเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิง
เนื่องจากเคยมีการขุดพบเหรียญของชาวโรมันอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
สำหรับจุดประสงค์ในการสร้าง สโตนเฮนจ์
ขึ้นนั้นจนปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ทราบในจุกประสงค์อย่างชัดเจนได้เลย
มีหลายทฤษฎีด้วยกันที่กล่าวถึงจุดประสงค์ในการสร้าง
โดยทฤษฎีที่เชื่อถือกันมากที่สุดก็คือเชื่อว่าสถานที่นี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น
ซึ่งนำมาจากบันทึกโบราณของชาว ดรูอิด(Druid) ซึ่งเป็นกลุ่มนักบวชของเผ่าพันธุ์เคลติก(Celtic)ที่อาศัยอยู่ในยุโรปช่วงตั้งแต่ประมาณหลายร้อยปีก่อนคริสต์ศักราช
กล่าวว่านักบวชชาวดรูอิดโบราณจะใช้สถานที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้าตามฤดูกาลต่างๆ
และด้วยความเชื่อนี้เองบัจจุบันกลุ่มนักบวชนิกาย
ดรูอิดใหม่ที่อยู่ในยุคสมัยปัจจุบันจึงยังคงใช้สถานที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของพวกตนอยู่อย่างต่อเนื่อง
และคนกลุ่มนี้ก็เป็นคนกลุ่มที่ออกมาต่อต้านการเปิดสถานที่แห่งนี้ให้เป็นที่ท่องเที่ยวของรัฐบาลอังกฤษอยู่ทุกวันนี้
เพราะเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ
แต่ความเชื่อของชาวดรูอิด เช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจริง
เพราะสโตนเฮนจ์สร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีชาว ดรูอิด หรือ ชาว เคลต์
มาปักหลักอาศัยอยู่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษหรือเกาะไอร์แลนด์นานมากหรือบ้างก็ว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะถูกใช้ในการประกอบพิธีกรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยที่ใกล้นั้นมีการพบเนินดินสำหรับฝังศพในสมัยดึกดำบรรพ์อยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งก็เชื่อว่า
สโตนเฮนจ์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่สังเกตการณ์โคจรของดวงดาวในสมัยโบราณ
เนื่องจากลักษณะการจัดวางของหินมีลักษณะคล้ายกับเครื่องมือสำหรับสังเกตการณ์ขึ้นลงของดวงอาทิตย์
และถ้าหากสังเกตจากรูปร่างของหินรูปร่างประหลาดก้อนหนึ่งตั้งอยู่ห่างไปจากตัว
สโตนเฮนจ์
โดยตั้งอยู่ใกล้กับถนนที่จะเดินทางไปสู่ลานจอดรถ ก้อนหินก้อนนี้เรียกว่า “ฮีลสโตน(Heelstone)”
กล่าวกันว่าในแต่ล่ะปีจะมีวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับตำแหน่งของก้อนหินนี้พอดี
ที่มาของการสร้างสโตนเฮนจ์อีกเรื่องหนึ่งมีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่องกษัตริย์
อาร์เธอร์ (King Artur)
กับอัสวินโต๊ะกลม กล่าวว่า เมอร์ลิน (Merlin)
ผู้วิเศษเป็นผู้สร้างโดยใช้เวทมนต์ยกมาจากเกาะไอร์แลนด์ที่ยักษ์เป็นผู้นำหินทั้งหมดมาจากทวีป
อัฟริกา แต่เรื่องนี้ดูจะอัศจรรย์จนเกินกว่าจะเป็นจริง
และอีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า
สโตนเฮนจ์ เป็นสถานที่สำหรับใช้รักษาเยียวยาผู้ป่วย จากหลุมฝังศพที่อยู่รอบๆ
อนุสาวรีย์หินและสะเก็ดหินโบราณชิ้นเล็กๆ ที่นำไปเป็นเครื่องราง
บ่งชี้ว่าในยุคนั้นสโตนเฮนจ์น่าจะมีความสำคัญคล้ายกับวิหารโลเดสในฝรั่งเศส
คือเป็นสถานที่สำหรับการรักษาเยียวยาผู้ป่วย เพราะในบริเวณนี้มีกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บมากผิดปกติ
และการวิเคราะห์ภาพถ่ายฟันก็บ่งชี้ว่าที่พบนั้นราวครึ่งหนึ่งเป็นคนจากที่อื่น ที่นี่ยังมีการค้นพบกะโหลกศีรษะของคน
2 คน ที่ผ่านการผ่าตัดทำศัลยกรรมในยุคแรกๆ
ซึ่งเคยมีขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอังกฤษ “โครงกระดูกของมนุษย์
ที่รู้จักกันในชื่อว่า อเมสเบอร์รี อาร์เชอร์
ที่พบในบริเวณนี้ มีลักษณะของกะโหลกศีรษะเหมือนได้รับบาดเจ็บรุนแรง
คาดว่าจะเสียชีวิตในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่มีการนำหินเหล่านี้มาวางเรียงไว้แบบนี้
การวิเคราะห์กระดูกของอาร์เชอร์บ่งชี้ว่าเขาน่าจะดั้นด้นมาจากแถบเทือกเขาแอลป์
มีการขุดค้นพบสะเก็ดหินบางส่วนที่ทำมาจากหินสีฟ้า ที่คนนำมาทำเป็นเครื่องราง
เป็นการใช้ในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการป้องกัน
เช่นเดียวกับทฤษฎีของหลุมฝังศพที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษที่พบว่ามีการฝังหินนี้ไว้รวมกับศพผู้เป็นเจ้าของด้วย ปัจจุบันนี้
หินสีฟ้าส่วนใหญ่ที่เป็นวงรอบในสุดแทบจะมองไม่เห็น
เพราะมีกลุ่มแผ่นหินทรายขนาดใหญ่หรือ ที่เรียกว่า หินแขวน
ยืนตระหง่านล้อมอยู่อย่างมั่นคงเก็บงำความลับอันน่าพิศวงของสโตนเฮนจ์ไว้
(ชิ้นส่วนของสะเก็ดหินสีฟ้า)
ผู้เรียบเรียง นายนิมิต จันทุดม
หนึ่งธิดา ราเมศวร์. 35 เมืองอัศจรรย์ของโลก (Wonderlands of the World).สำนักพิมพ์
มายิก. หน้า 167
สำนักข่าวบันเทิงเนชั่น. 6 กันยายน 2551. http://www.oknation.net/blog/NENA/2008/09/26/entry-5






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น